วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ชมตัวเอง

 

ขึ้นหัวข้อว่า "ชมตัวเอง" หลายคนคงมีอาการอึดอัด กระอักกระอ่วน ไม่กล้าทำ ไร้สาระ ทำไม่ได้ แค่คิดก็รู้สึกผิดแล้ว แต่รู้หรือไม่การชมตัวเองนั้นส่งผลที่ดีต่อตัวเราอย่างไม่น่าเชื่อ การชมตัวเองนั้น เป็นเรื่องง่ายๆและเราสามารถที่จะทำได้ทุกวันแต่คนส่วนใหญ่ไม่ทำและรอให้คนอื่นมาชมเราแทน

ผู้หญิงคนหนึ่งเพิ่งได้งานในองค์กรเอกชนแห่งหนึ่ง เป็นองค์การที่ใหญ่กว่าที่ทำงานเดิม หน้าที่รับผิดชอบก็มากกว่าเดิม ด้วยความที่เนื้องานค่อนข้างใหม่สำหรับเธอ และลักษณะงานในองค์กรของเธอก็ค่อนข้างซับซ้อน เธอจึงทุ่มเททำงานด้วยความตั้งใจอย่างที่สุด ขยัน อดทน เรียนรู้งานอย่างเต็มกำลัง เพราะเธออยากให้งานออกมาดี ทุกวันเธอตื่นไปทำงานด้วยความกระตือรือร้น เธอทำงานโดยไม่ได้หวังว่าใครจะมาชม แล้วผลของการตั้งใจทำงานก็ส่งผล ทำให้เธอมีผลงานที่ดีและนายของเธอก็ชมว่าเธอทำงานได้ดีอยู่บ่อยๆ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้คาดหวังคำชมแต่ทุกครั้งที่ได้รับคำชมจากนายของเธอ ใจก็จะรู้สึกเบิกบาน มีความสุข และมีกำลังใจที่จะสร้างสรรค์งานดีๆต่อไป

เธอตั้งคำถามกับตัวเองใหม่ว่าทำไมต้องรอให้คนอื่นมาชมตัวเรา เราสามารถชมตัวเองได้เสมอ เป็นที่พักพิงให้กับตัวเองได้ เรื่องที่เราชมตัวเองไม่จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆที่เราทำสำเร็จในแต่ละวันมันก็เพียงพอแล้ว ตัวอย่างของการชมตัวเองจากเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่น

วันนี้เราเดินขึ้นบันได 2 ชั้นแทนการใช้ลิฟท์ เก่งจัง
วันนี้เรากินข้าวหมดจาน ยอดเยี่ยมที่สุด
วันนี้เรายิ้มให้กับคนแปลกหน้า กล้าหาญมาก
วันนี้ทำให้เพื่อนได้หัวเราะเสียงดัง เจ๋งที่สุด

เขียนคำชมตัวเองใส่สมุด เขียนทุกวัน แล้วลองอ่านทบทวนดู เราจะรู้สึกได้เลยว่าเรามีความสุข จำได้ว่าเราทำสิ่งต่างๆประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย

งานเขียนโดย Tita Lifecoach
แรงบันดาลใจของทุกงานเขียน ครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง

วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

เราเกิดมาคู่ควรกับสิ่งดีๆ







ผู้หญิงคนหนึ่งมีกระเป๋าถือยี่ห้อดังราคาหลายหมื่นใบหนึ่งค่ะ แม่ซื้อให้เธอเป็นของขวัญ แต่ผู้หญิงคนนี้เมื่อก่อนไม่กล้าถือกระเป๋าใบนี้เพราะ กลัวคนอื่นหาว่า ไฮโซกลัวเข้ากลุ่มกับเพือนๆไม่ได้ด้วยค่ะ และ ไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเป็นคนรวยค่ะ ตอนได้มาใหม่ๆก็มีความคิดว่าอยากจะขายต่อ จริงๆก็เอาไปขายแล้วด้วยแต่คนซื้อไม่ถูกใจแบบ วันนี้เธอกลับมานั่งคิด รู้สึกดีใจที่วันนั้นเค้าไม่ได้ซื้อไป เพราะว่าวันนี้ความคิดของเธอเปลี่ยนไปค่ะ ตั้งแต่ไปเข้าเรียนคอร์สเข็มทิศจิตใต้สำนึกทำให้เธอรู้ว่าลึกๆแล้วเธอมีความกลัวหลายอย่างที่มันไม่เป็นประโยชย์เอาซะเลย เธอมัวแต่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าคุณค่าและการกระทำของเธอเอง หากวันนี้เธอจะสะพายกระเป๋าราคาแพงใบนั้นแล้วคนอื่นจะรู้สึกยังไงกับเธอมันไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกที่เธอมีต่อตัวเอง เพราะเธอรู้แล้วว่า

1 เธอคู่ควรกับสิ่งดีๆในชีวิต
2 เธอได้ถือความรักของแม่ไปทุกที่ เพราะกระเป๋าใบนี้แม่ซื้อให้เป็นของขวัญ
3 เธอได้ให้เกียรติ์คนคิดแบบและผลิตกระเป๋าออกมาว่าสิ่งที่เค้าทำออกมานั้นมีประโยชน์
4 เธอได้เรียนรู้แล้วว่า มันผิดตรงไหนหากเธอเป็นจะคนรวย!

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

เติมใจให้กัน-เติมความรักให้ตัวเอง

"รักตัวเอง เมตตาตัวเอง พูดสิ่งดีๆ กับตัวเอง" โดยครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง

ฝึกตัวเราเองให้มีความรักความเมตตาต่อตัวเองให้มากๆนะคะ เพราะหากเราไม่มีความรักความเมตตาให้กับตัวเองแล้วเราก็คงจะแบ่งปันให้คนอื่นไม่ได้


วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2555

การเต้น



เมื่อก่อนฉันเป็นคนหนึ่งที่ไม่กล้าลุกขึ้นมาเต้นค่ะ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก เพราะติดกรอบของคำว่าเป็นคนเรียบร้อย สมัยเป็นนักเรียนวัยรุ่น เวลาไปดูคอนเสริตก็จะไม่ค่อยกล้าเต้น จะนั่งเป็นผ้าพับไว้ เพราะคิดอยู่ในหัวว่าอาย เขิน คนเรียบร้อยก็ต้องไม่เต้นแร้งเต้นกา เห็นคนอื่นเต้นแล้วก็จะคิดว่าไม่อายกันมั่งหรือยังไง เลยไม่อนุญาตให้ตัวเองลุกขึ้นไปเต้นค่ะ ทั้งๆที่ในใจลึกๆแล้ว เวลาเห็นเพื่อนๆเต้นก็อยากจะเข้าไปเต้นด้วย
แต่ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาที่ได้เข้ามาเรียนในคอร์สเข็มทิศจิตใต้สำนึก ฉันได้เต้นเยอะมาก และก็เต็มใจ ดีใจ ที่จะได้เต้นด้วย เพราะมันไม่ใช่การเต้นแร้งเต้นกา อย่างที่ฉันเคยรู้สึก ยิ่งในคอร์สหลังๆที่มีครูเงาะ (รสคนธ์ กองเกตุ) ครูสอนการแสดงที่เก่งมากที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย มาเรียนในคอร์สและได้ขึ้นไปนำเต้น ทำให้ฉันยิ่งมองเห็นถึงคุณค่าและความหมายในการขยับร่างกาย เพราะอะไร เพราะการเต้นเป็นการเปลี่ยนสภาวะทางจิตใจจากคนที่รู้สึกว่าโลกนี้มันแย่ กลายเป็นโลกนี้มีความหวัง มีความสนุก มีสิ่งดีๆมากมายให้เราค้นหา และเมื่อเราสนุกมีความสุข สารเคมีดีๆมากมายก็หลั่งออกมาทำให้เรารู้สึกสดชื่น มีพลัง นอกจากนี้เรายังได้เห็นรอยยิ้มของตัวเอง เห็นรอยยิ้มของเพื่อน มันเป็นขณะของปิติสุขที่เกิดขึ้นในใจของเรา ประทับไว้ในความทรงจำที่ดี
แต่การเต้นของฉันนั้นมันก็ยังไม่สุดๆค่ะ ฉันก็ยังเต้นแบบอยู่ในกรอบที่ตัวเองตั้งเอาไว้ค่ะ จนวันหนึ่งฉันทิ้งกรอบ ทิ้งความคาดหวัง ทิ้งความกลัวออกไป แล้วก็เต้นในแบบที่ไม่แคร์สื่อ ไม่สนใจว่าจะมีใครมองเราอย่างไร ในวินาทีนั้นฉันสัมผัสได้ถึงคำว่าอิสรภาพ มันเป็นความรู้สึกโล่งๆ แล้วก็สดชื่นมากค่ะ วินาทีนั้นฉันรู้สึกว่าเป็นอิสระจากทุกสิ่ง อากาศที่สูดหายใจเข้าไปช่างบริสุทธิ์สดชื่น มีความสุขมาก ลองอนุญาตตัวเองลุกขึ้นมาเต้นในแบบที่เราไม่แคร์ดูสิค่ะ ความรู้สึกมันสุดยอดมากๆเลย

วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555

เด็กหญิงถูกต้อง




มีใครกลัวการทำผิดบ้าง ฉันขอยกมือคนแรกเลย จำได้ว่าตอนเป็นนักเรียนอยู่มัธยมต้น ต้องตัดผมสั้นเท่าติ่งหู โรงเรียนจะมีการตรวจผมทุกเดือน ด้วยความที่ไม่อยากถูกทำโทษก็จะไปตัดผมทุกเดือน ช่างตัดผมบอกยังไม่ยาวเลย ฉันก็จะบอกตัดไปเถอะ เพราะพอตัดไปแล้วฉันได้รับความสบายใจ มั่นใจว่าไม่ถูกลงโทษอย่างแน่นอน
เมื่อก่อนไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น รูปแบบพฤติกรรมของตัวเองเลยค่ะ จนวันหนึ่งครูอ้อยบอกว่าเรามีรูปแบบพฤติกรรมของเด็กหญิงถูกต้อง วันนี้นั่งขำตัวเองแล้วนั่งคิด เพราะไม่ใช่แค่เรื่องตัดผมเท่านั้นที่ฉันต้องการทำให้ถูกเป๊ะ ยังมีอีกหลายเรื่องในชีวิตที่เราก็ต้องการทำให้ถูกต้อง เพราะถูกแล้วสบายใจ ถูกแล้วไม่โดนลงโทษ แต่การที่เราต้องการเป็นเด็กหญิงถูกต้อง ทำให้มีความกลัวบางอย่างที่มันครอบงำเราอยู่นั่นคือการกลัวความผิดพลาดและกลัวความคาดหวัง แต่ยิ่งกลัวความผิดพลาดก็ยิ่งทำพลาด ความกลัวที่มันฝังรากลึกในจิตใต้สำนึกอันนี้ทำให้เราเป็นเด็กหญิงถูกต้องจนหลายๆครั้งในชีวิตพลาดโอกาสในการเติบโต เพราะไม่กล้าคิดเพราะกลัวผิด หรือถ้าคิดก็จะคิดอยู่แต่ในกรอบตามที่คนอื่นวางเอาไว้ หรือบางทีก็ไม่กล้าตัดสินใจ พอไม่กล้าตัดสินใจก็ไม่ได้ลงมือทำ เพื่อนรักคนหนึ่งบอกว่าถ้าเทียบระหว่างต้องทำถูกหมดทุกอย่างแล้วไม่ได้ลงมือทำ กับ ทำลงไปแล้วแต่มันผิด ขอเลือกอย่างหลัง เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ อืมก็จริงของเพื่อน เรามัวแต่ให้ความสนใจในเรื่องการทำให้ถูกจนลืมคิดไปว่า โลกนี้มียางลบ มีลิควิดเปเปอร์ และแป้นคอมพิวเตอร์มีปุ่ม Delete อีกสิ่งหนึ่งที่ได้จากการเป็นเด็กหญิงถูกต้องคือความเครียดค่ะ ความเครียดเป็นบ่อเกิดแห่งโลกทางใจและโลกทางกาย จนทำให้เราไม่ได้หยั่งลึกเข้าไปในศักยภาพอันแท้จริงของเรานั่นคือสภาวะลื่นไหล (Flow) ที่ซึ่งจะทำให้เราผลิตผลงานออกมาได้ดีกว่าเยอะมาก เรามัวแต่ปล่อยให้ตัวเองไหลไปสู่ร่องน้ำเดิมๆอยู่อย่างนั้นจนหมดพลังมันเสียเวลา และมันก็จะรู้สึกว่าอยากอาเจียนด้วย
วันนี้แค่พลิกใจซึ่งง่ายเท่ากับการพลิกฝ่ามือทำทุกอย่างที่เราต้องทำอย่างเต็มที่แต่รู้สึกสบายๆ เป็นตัวเราที่ดีที่สุด หากเราทำอะไรผิดพลาดไปมันคือกระบวนการของการเรียนรู้สิ่งใหม่ เราแค่เอาประสบการณ์ที่ได้มาใช้เป็นข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) ว่าเราจะสามารถทำอย่างไรให้ดีขึ้นได้บ้าง หน้าที่เราคือยอมรับ เรียนรู้ และเติบโต ผิดแล้วก็แก้ไขใหม่ได้ เพราะเราจะได้รู้วิธีการที่ดีกว่าเดิมและทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อไป

วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

What do you see in the picture - เห็นอะไรในรูปนี้


What do you see from this picture? To me, I see happiness, wealth and health. This is the picture of richness. It's the picture that reminds me that the world is so abundance.

Imagine that you step into the picture, you are standing at the place and face up to see the blue sky and the white cloud, a warm sunshine touch your skin and let a gentle breeze cool your face, how would you feel, what you would think in your head. I would think, what a wonderful world.

Whenever you feel down or unhappy, just think about your favorite place and just imagine that you are in that place and then the wonderful feeling will come. Enjoy the moment, keep it as your power.

ดูภาพนี้แล้วเห็นอะไรค่ะ สำหรับฉันแล้วเห็นความสุข ความมั่งคั่ง ความสมบูรณ์ มันเป็นภาพของความร่ำรวย มันเป็นภาพที่ย้ำเตือนให้เราตระหนักว่าโลกนี้มันสมบูรณ์เพียงใด

จินตนาการว่าเราเข้าไปอยู่ในภาพนี้ เรากำลังยืนอยู่ในภาพ เงยหน้ามองท้องฟ้าสีฟ้า ปุยเมฆสีขาว มีแสงแดดอุ่นสัมผัสตัว มีลมเย็นๆพัดผ่านหน้า เราจะรู้สึกอย่างไร และ เราจะคิดอะไรในหัว สำหรับฉันแล้วฉันคิดว่า โลกนี้สวยงาม

เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกไม่สบายใจ ก็แค่ให้จินตนาการให้เห็นภาพสถานที่ที่เราชอบว่าเราได้อยู่ตรงนั้น แล้วความรู้สึกดีๆก็จะเข้ามาแทนที่ ซึมซับความรู้สึกดีๆนั้น เก็บมันเอาไว้เป็นพลัง

Accept and Thangk you - ยอมรับและขอบคุณ


 
 
Have you ever got complements from someone like
Someone: You are so professional.
You: No, I’m not. Everybody can be a professional at their work.
Someone: The University that you studied is very hard to get in.
You: No, it’s not. Anybody can get in.
Someone: You are a good person.
You: Really, am I that good?
Someone: You are beautiful.
You: There are many people are more beautiful than me.
Someone: Why you have to abase yourself?
You: @#%*^! Start to aware why I have to abase myself?
I believe that one of the reasons that we cannot see our capabilities in ourselves because we deny all the complements we have got. The complements are like gifts from the universe. The answer that we give out from our mouth like; “No, I’m not” reflects to our thoughts, feelings and actions. As a result, it becomes a circle of a limiting belief. It’s a belief that a good person has to abase oneself otherwise other people will disapprove. However, the result that we got is we blind ourselves from seeing our good qualifications.
Today, telling yourself that “A good person is able to show off” for you to see what you have and go out and help others. 
 
เคยมั๊ยในชีวิตที่มีคนชมเราว่า
คนชม: เธอทำงานเก่งจังเลย
ตัวเรา: ไม่หรอก งานแบบนี้ใครๆก็ทำได้
คนชม: เธอรู้มั๊ยว่ามหาวิทยาลัยที่เธอเรียนเข้ายากนะ
ตัวเรา: ไม่หรอก มหาวิทยาลัยนี้ใครๆก็เข้าได้
คนชม: เธอเป็นคนดีจัง
ตัวเรา: จริงเหรอ ฉันเป็นคนดีขนาดนั้นเหรอ
คนชม: เธอสวยจังเลย
ตัวเรา: ไม่หรอก มีคนสวยกว่าเราตั้งเยอะ
คนมาเตือนสติ: นี่เธอๆๆ เป็นคนดีไม่ต้องถ่อมตัวมากก็ได้
ตัวเรา: @#%*^! เริ่มได้สติ

คิดว่าสาเหตุอันหนึ่งที่ทำให้เรามองไม่เห็นความสามารถของตัวเองนั่นคือการปฏิเสธคำชมที่เป็นเหมือน ของขวัญที่โลกมอบให้กับเรา จากคำพูดที่ออกจากปากที่ว่าไม่หรอกแบบนี้ใครๆก็ทำได้ส่งผลต่อความคิด ความรู้สึก และ การกระทำ วนกันเป็นวงจรแล้วกลายเป็นความเชื่อที่ขังเราไว้ เพราะเราเชื่อว่าการเป็นคนดีต้องถ่อมตัว กลัวคนอื่นหมั่นไส้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ในชีวิตทำให้เรามองไม่เห็นศักยภาพตัวเองว่าเรามีคุณสมบัติอะไรดีๆในตัวเราบ้าง

วันนี้บอกตัวเองว่า เธอๆๆ เป็นคนดีโชว์ออฟบ้างก็ได้เพื่อที่เราจะได้มองเห็นว่าเรามีอะไรดีแล้วออกไปไปทำประโยชน์